จากการรวมกลุ่มแรงงานในนาม “สหภาพ” สู่แรงงานนอกระบบ ทางออกเพื่อความเป็นธรรม?

Share Post :

การเคลื่อนไหวของแรงงานโรงงานชื่อดังในช่วงที่ผ่านมา เป็นกระจกสะท้อนความจริงเชิงโครงสร้างในระบบแรงงานไทย แรงงานเพียงลำพังไม่มีทางต่อรองได้เท่ากับแรงงานที่มีอำนาจรวมหมู่ นี่คือ ปรากฏการณ์ที่ทำให้สาธารณะได้เห็นอีกครั้งว่า ทำไมสหภาพแรงงานจึงจำเป็น แม้ในยุคที่การทำงานเริ่มกระจัดกระจาย (platform, gig worker) มากขึ้นทุกวัน

กรณีที่เกิดขึ้นกับโรงงานชื่อดังในครั้งนี้ ทำให้หลายคนได้เห็นชัดเจนว่า “อำนาจต่อรอง” ไม่ใช่คุณสมบัติส่วนบุคคล แต่เป็นผลลัพธ์ของการรวมตัวกันอย่างมีระบบ การที่แรงงานสามารถเรียกร้องโบนัส สวัสดิการ วันลาที่เป็นธรรม หรือแม้กระทั่งให้เพื่อนร่วมงานกลับเข้าทำงานได้ทั้งหมด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ใครคนหนึ่งจะทำได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยพลังร่วมที่เป็นรูปธรรม

งานศึกษาของ War on Want ชี้ไว้ว่า การมีสหภาพคือ “สถาปัตยกรรมทางอำนาจ” แบบหนึ่ง ที่ทำให้แรงงานสามารถยืนอยู่ในโต๊ะเจรจาอย่างมั่นคงมากขึ้น ไม่ใช่เพราะมีเสียงดังขึ้น แต่เพราะเสียงนั้นเป็นเสียงของหลายคนรวมกัน

เพราะว่าสหภาพทำให้การต่อรองเป็นระบบ ไม่ใช่การวิงวอนรายบุคคล ทำให้ค่าจ้างและสวัสดิการไม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฝ่ายบริหาร แต่ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ทำให้ความเสี่ยงจากการถูกกดดัน ลดน้อยลง เพราะไม่มีใครโดนแยกไปจัดการทีละคน และเหนืออื่นใด สร้าง “กลไกคานอำนาจ” เพื่อให้ที่ทำงานเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่าเดิม

ขณะเดียวกันรายงานของ ILO ชี้ว่า ในระดับโลก “union density” (สัดส่วนแรงงานที่เป็นสมาชิกสหภาพ) ปัจจุบันอยู่ราว 11-12% จากจำนวนแรงงานทั้งหมดทั่วโลก ในขณะที่อัตราการรวมตัวของ “แรงงานมาตรฐาน” (wage-earners) ลดลงจากประมาณ 20% เป็รประมาณ 16–17% ในรอบสิบ-ยี่สิบปีที่ผ่านมา ILO ยังเตือนว่า เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ “งานนอกระบบ, แพลตฟอร์ม, งานอิสระ” (precarious employment) สัดส่วนการรวมตัวของแรงงานในกลุ่มนี้ยังต่ำมากเมื่อเทียบกับงานที่มีสัญญาจ้าง “มาตรฐาน”

สำหรับประเทศไทย สัดส่วนสมาชิกสหภาพในภาคเอกชนอยู่ในระดับต่ำมาก และแรงงานบางกลุ่ม (เช่นลูกจ้างชั่วคราว แรงงานนอกระบบ) ยากจะเข้าถึงกลไกสหภาพได้อย่างจริงจัง “การรวมตัว” จึงถูกจำกัดโดยโครงสร้างทางกฎหมายและสภาพการจ้างงานที่ไม่เอื้อให้เกิดการต่อรองอย่างเป็นระบบ ในภาวะที่ “งานในระบบ” ลดสัดส่วน เมื่อ “งานที่ไม่มั่นคง งานแพลตฟอร์ม งานอิสระ” กลายเป็นสัดส่วนใหญ่ของแรงงาน รายงานจาก World Bank ระบุว่าประเทศพัฒนาแล้วจะยังเป็นผู้ว่าจ้างหลักในตลาดแรงงานกิ๊ก ความต้องการแรงงานกิ๊กในประเทศกำลังพัฒนาเติบโตเร็วกว่าอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ งานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลรายใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 130% ในขณะที่อเมริกาเหนือเพิ่มขึ้นเพียง 14% อีกทั้งเกือบ 60% ของบริษัทในประเทศยากจนระบุว่าได้เพิ่มการจ้างงานกิ๊กมากขึ้น ในขณะที่บริษัทในประเทศร่ำรวยมีเพียงไม่ถึงครึ่งที่รายงานเช่นเดียว ด้วยงานแบบใหม่ โครงสร้างแรงงานทั้งระบบกำลังถูกรีเซ็ตใหม่โดยที่ กลไกปกป้องแรงงานแบบเดิม (สัญญาจ้างประจำ สวัสดิการ งานประจำ) อาจไม่พอ หรือไม่ครอบคลุมอีกต่อไป

แต่แรงงานเหล่านี้กลับแทบไม่สามารถสร้างสหภาพหรือต่อรองร่วมกันได้เลย หากยังต้องเผชิญปัญหาเดิม ๆ ไม่มีหลักประกันพื้นฐานที่แรงงานควรมี การเกิดสหภาพจึงเป็นเรื่องยาก และท้าทายมากขึ้น เพราะฉะนั้น การรวมตัวกันจึงไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่คือเงื่อนไขขั้นต่ำในการทำให้แรงงานยุคใหม่ เพื่อสร้างความเป็นธรรมที่จับต้องได้จริง

วงศธร แก้ววิลัย TCJA รายงาน

วธูสิริ อาจเอื้อ TCJA ภาพประกอบ

Share Post :
Scroll to Top