น้ำท่วมแนวใหม่ ด้วยเหตุใหม่ยังไร้นาม
น้ำท่วมปักษ์ใต้รับศักราชใหม่ 2560 ด้วยความรุนแรงทำลายสถิติ คงจะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน เพราะมันเป็นการท่วมด้วยเหตุใหม่ที่แทบไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความรู้แบบเดิมอีกต่อไป
ประการที่ 1 เป็นอุทกภัยที่ไม่มีชื่อกำกับด้วยชื่อพายุ เช่น ซีต้าร์ ลินดา มหาสมุทรอะไรทั้งนั้น เพราะเที่ยวนี้ฝนตกหนักและท่วมโดยไม่ต้องอาศัยพายุ แปลว่า เกิดและเติบโต ทำลายล้างด้วยตัวเอง
ประการที่ 2 เป็นอุทกภัยที่มีเทคโนโลยีคาดการณ์ล่วงหน้าได้ก่อนกว่า 10 วัน นักวิชาการหลายคนพยากรณ์บอกว่า ฝนตกหนักมีเหตุคล้ายกับอุทกภัยตอนปี 54 ถ้าจำไม่ผิด ไม่มีชื่อเรียกเช่นกัน
ประการที่ 3 เป็นอุทกภัยนอกมรสุม ท่วมซ้ำในที่เดิมๆ เพิ่มขยายกระจายถ้วนหน้า และฉับพลันทันที เช้าท่วมกวาดทำลาย พอสายเติมใหม่พลันทันที จนหนีไม่ทันทำไม่ถูก เก็บกวาดล้างกันสัปดาห์ละครั้งเช่นที่พัทลุง ท่วมตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ปลายเดือน และเริ่มปีใหม่
ประการที่ 4 เป็นอุทกภัยที่แทบไร้คนบ่น กล่าวโทษด้วยวาทกรรมซ้ำซากว่า “ เพราะพวก..ตัดไม้ทำลายป่า” และปรากฏการณ์ความทระนงของคนปักษ์ใต้ที่พึ่งตนเอง ซึ่งเขาอาจเชื่อว่า รัฐไม่ใช่ที่พึ่ง
น้ำท่วมแนวใหม่ “อุทกภัยไร้นาม”เกิดจากเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนไป แต่รัฐยังใช้ชุดความรู้เดิมจัดการแก้ปัญหา แต่การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศทำให้สภาพการณ์เปลี่ยนไป เมื่อน้ำอุ่นขึ้น การระเหยเป็นไอน้ำมากขึ้น มวลหมู่เมฆหนาเคลื่อนเข้าหาป่าสมบูรณ์ และตกซ้ำๆ ในที่เดิม นักวิชาการจึงสรุปว่า “ที่ไหนฝนตก จะตกมากขึ้นในช่วงเวลาสั้นลง ที่ไหนไม่ตก ก็แห้งแล้งหนักขึ้น”
ปัญหาชุดความเชื่อเดิมของทางการ นอกจากจะผิดพลาดแล้วยังสร้างปัญหาเพิ่ม
- จะทวงคืนผืนป่าต้นน้ำมาปลูกป่า โดยยึดที่ทำกินของชุมชน และจัดงบฯ มาผลาญปลูกแล้วตายต่อไป
- จะสร้างเขื่อน งบฯมาก ไร้ประสิทธิภาพ และทำลายพื้นที่เก็บกักน้ำตามธรรมชาติ
- จะเวนคืนขุดคลองระบายน้ำให้ลงน้ำทะเลไวๆ
- ประกาศเขตภัยพิบัติ แล้วจัดซื้อถุงยังชีพ อุปกรณ์ต่างๆ และมักพบว่า ทั้งที่น้ำแห้งหลายวันแล้ว ของแจกยังเกลื่อนสถานที่ราชการ
- ตั้งงบประมาณทำท่อ ทาง ถนน แต่งบฯ ชดเชยค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัยแทบไม่พอ
ปัญหาจริงของอุทกภัยไร้นาม
- การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ ทำให้ปริมาณน้ำฝนเกินกว่าธรรมชาติจะรับไหว ยิ่งฝนตกในช่วงปลายฤดูฝน พื้นป่ายังอิ่มน้ำ ไม่สามารถเก็บกักได้อีกแล้ว จึงไหลบ่าทั้งหมดซึ่งเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ
- การคำนวณปริมาณน้ำฝนเพื่อคาดการณ์อุทกภัยผิดพลาด ข้อมูลจาก รศ.พะยอม รัตนมณี แห่งคณะวิศวกรรม มอ. พบว่า ปริมาณน้ำฝนบริเวณเขาหลวงมากกว่าในเขตเมือง 65 เท่า ถ้าปริมาณน้ำฝนในเมืองคือ 300 มม./24 ชม.ในป่าเขาหลวงจะมีปริมาณน้ำฝน 300×1.65=495 มม./24 ชม
- การคำนวณพื้นที่รับน้ำผิดพลาด เช่น แม่น้ำหลังสวนจะคำนวณมวลน้ำมาจากเขตอำเภอพะโต๊ะ มีพื้นที่ 629,375 ไร่ แต่ในความเป็นจริงมีพื้นที่รับน้ำแก่งใน จ.สุราษฏร์ธานีอีกสองแสนไร่
- ปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่เกษตรซึ่งส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 เป็นยางพาราและปาล์มเชิงเดี่ยว ซึ่งประสิทธิภาพเก็บกักน้ำหายไปร้อยละ 54 ทำให้น้ำไหลบ่าสู่เบื้องล่างทันที
- การขุดลอกคลอง ทำเขื่อนกั้น และการกีดกั้นโดยถนน บีบน้ำที่เอ่อทุ่งให้ลงแม่น้ำ น้ำจึงไหลแรงลงพื้นที่เบื้องล่างรวดเร็วเป็นการฝืนธรรมชาติ ทำให้น้ำท่วมเร็วขึ้น ทำลายตลิ่ง และสิ่งกีดขวาง
หากจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ต้องนอบน้อมธรรมชาติและขจัดชุดความคิด ความรู้ แนวนโยบายเก่า แล้วเริ่มต้นแนวคิดใหม่ เรียกว่า “กฎการแก้ปัญหาอุทกภัยไร้นาม” ซึ่งประกอบด้วยหลักการ 3 ประการ คือ
ก.สิ่งที่ห้ามทำ
- ไม่ควรสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ เพราะไม่สามารถบอกได้ว่า เท่าใดจึงจะพอ และมันจะทำลายที่กักเก็บน้ำตามธรรมชาติที่เหลือน้อยนิดให้สูญสิ้น
- ไม่ต้องสร้างช่องทางน้ำ Flood way ขนาดใหญ่ หรือขุดลอกคลองให้น้ำไหลเร็ว โดยไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะการทำให้น้ำไหลเร็วจะทำให้น้ำลงไปท่วมพื้นที่ข้างล่างเร็วขึ้น อันจะสร้างพลังทำลายสูง
- ไม่ควรท่องอาขยาน “น้ำท่วมเพราะตัดไม้ทำลายป่า” เท่านั้น เพราะครั้งนี้เป็นภัยธรรมชาติ และครั้งที่ท่วมที่ฝรั่งเศส ไม่มีใครบ่นว่าคนฝรั่งเศสตัดไม้ทำลายป่า เพราะมันเป็นภัยธรรมชาติจริง และต้องยอมรับ
ข.สิ่งที่ควรทำ
- เพิ่มที่วัดน้ำฝน หรือคำนวณปริมาณน้ำฝนต่อพื้นที่ลุ่มน้ำให้ได้ปริมาณมวลน้ำ xความเร็วราว 10 กม/ชม และสร้างสมการความสัมพันธ์กับพื้นที่ราบให้น้ำเอ่อทุ่งให้คำนวณล่วงหน้าได้ เช่น ฝนตกในพื้นที่ 1 ล้านไร่ x1,600 ตารางเมตร x ปริมาณน้ำฝน (ปริมาณน้ำฝน 500 มม.) จะได้ปริมาณน้ำ 800 ล้านลบ.ม. หากไหลไปเอ่อทุ่งขนาด 200,000 ไร่ จะมีความสูง5 เมตร เป็นต้น พร้อมการแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ
- บ้านเรือนในรัศมีคลอง และที่ราบต้องส่งเสริมให้ยกเสาสูง เตรียมพร้อมรองรับ การท่วมเอ่อทุ่ง เอ่อคลองได้ตลอดเวลา
- พื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยวต้องเปลี่ยนเป็นพืชผสมผสานเพื่อให้เก็บน้ำได้ดีขึ้น เพราะเนื้อดินสามารถเก็บกักน้ำได้ครึ่งของหน่วยปริมาตร เช่น ในเนื้อดินชื้น 2 กก. ถ้าตากแดดให้แห้งจะเหลือ 1 กก. ที่หายไปคือน้ำในเนื้อดิน ในพื้นที่ 1 ไร่จะมีเนื้อดินราว 6,400 ลบ.ม. จะสามารถเก็บน้ำได้ราว 3,200 ลบ.ม./ไร่ พื้นที่ราบจะกักเก็บน้ำได้ดีกว่าภูเขา หากมีต้นไม้ผสมผสานจะเก็บน้ำดีกว่าเขื่อน
- จัดทำถุงยังชีพล่วงหน้า ประกอบด้วยอาหาร พลังงาน น้ำ ยา สามารถใช้ชีวิตได้ 5 วัน แจกล่วงหน้าไว้ เมื่อเกิดภัยพิบัติสามารถใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องเดินทางไปแจกด้วยความยากลำบาก
- ปลูกต้นไม้ริมคลองที่มีรากและเรือนยอดหลากหลาย เพื่อชะลอกระแสน้ำ ป้องกันการชะล้างหน้าดิน
- รักษา คุ้ง วัง เนินหินทราย ตามธรรมชาติ เพื่อชะลอให้น้ำไหลช้าหรือให้ท่วมด้านบนลุ่มน้ำนานที่สุด ส่วนด้านล่างต้องให้น้ำเอ่อทุ่งจะเป็นการชะลอความรุนแรง และยังช่วยกระจายธาตุอาหารให้ดินด้วย
- เข้าใจภัยธรรมชาติพร้อมรับ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างมีน้ำใจ ตามคุณสมบัติเด่นของชุมชนเรา
ค.สิทธิอันพึงมี
- ประชาชนต้องสามารถประเมินค่าความเสียหายด้วยตนเอง ทั้งต้องได้รับการชดเชยเยียวยาตามสมควร
- การคุ้มครองจากการประกันภัยในความเสียหาย
- วางแผนจัดการป้องกันอุทกภัย/ภัยพิบัติ โดยชุมชนและเครือข่าย และสามารถยับยั้งโครงการของรัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต
- จัดการตัดแปรรูปต้นไม้ กิ่งไม้ที่เสียหาย เพื่อใช้งานโดยไม่ต้องขออนุญาต
“อุทกภัยไร้นาม” เป็นเรื่องใหม่ ที่เกิดจากเหตุและผลใหม่ แค่ตั้งชื่อยังไม่ได้ ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาจึงควรยอมรับความคิดก้าวหน้า เพื่อเท่าทันปัญหาน้ำท่วมแนวใหม่ได้
โดย พงศา ชูแนม
นักวิชาการอิสระ สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา
ข่าวประกอบ
เหตุการณ์วิกฤตภาคใต้ ที่เจอกับน้ำท่วมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 1 มกราคม 2560 ทำให้ประชาชนเดือดร้อนกว่า 1 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 25 ราย สูญหาย 2 ราย อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/2iqmTx7
น้ำท่วมภาคใต้11จังหวัดเสียชีวิตแล้ว 25 ราย สูญหาย 2 คน…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/social/general/474834
เตือน11จว.ใต้รับมือฝนหนักอีกระลอก 10 ม.ค. เฝ้าระวังดินถล่ม-น้ำท่วมฉับพลัน อ่านต่อได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_175730