ปรับรูป ลดขนาด เปลี่ยนงบประมาณ กระจายการจัดการ

 ปรับรูปลดขนาดเปลี่ยนงบประมาณกระจายการจัดการ

 พลเดช ปิ่นประทีป / เขียนให้โพสต์ทูเดย์ วันพุธที่4มีนาคม2558 

การปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินเป็นเรื่องใหญ่มากเรื่องหนึ่งที่สภาปฏิรูปแห่งชาติกำลังระดมความคิดและช่วยกันออกแบบ
ซึ่งคาดว่าภายในเดือนหน้
าคงจะเห็นภาพชัดขึ้นว่าจะปฏิรูปจากอะไรไปสู่อะไร การบริหารราชการในปัจจุบันยังคงเป็นแบบรวมศูนย์  

โดยอำนาจรัฐส่วนกลางไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการที่หลากหลายของประชาชนและชุมชนท้องถิ่นได้เท่าที่ควร
ทั้งในด้านการบริ
การและการอำนวยความสะดวกโครงสร้างองค์กรภาครัฐระบบงานและอัตรากำลังราชการมีปัญหาฉกรรจ์

ในเรื่องความใหญ่โต เทอะทะความคุ้มค่างบประมาณ กฎระเบียบที่มีมากไม่ตอบสนองประชาชนผู้ใช้บริการและผลลัพธ์ของงาน
ภายหลังการปฏิรูปราชการปี
2545 จนถึงปัจจุบันมีการขยายตัวของส่วนราชการอย่างต่อเนื่อง จำนวนกระทรวงเพิ่มอีก 6
กรมเพิ่ม 12  กองและสำนักเพิ่ม 162 และหน่วยงานระดับจังหวัดเพิ่มอี
กหลายร้อย แต่อย่างไรก็ตาม กพร.รายงานการสอบทานพบว่า
จำนวนกองที่เพิ่มขึ้นนี้ช่วยให้
เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลไม่ได้เป็นภาระค่าใช้จ่ายบุคลากรแต่อย่างใดeปัจจุบันภาครัฐ

ยังคงเป็นผู้จ้างงานรายใหญ่ที่สุดของประเทศจากข้อมูลของดร.สุรพงษ์ มาลี  กำลังคนภาครัฐรวมทุกประเภทมีมากถึง
2.72 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 7.89 ของกำลังแรงงานทั้งหมด
หรือกล่าวได้ว่ามีบุคลากรภาครัฐ 1 คนต่อประชากร 25 คน
ตรงจุดนี้เมื่อเปรียบเทียบกั
บประเทศที่พัฒนาแล้ว เขามีบุคลากรภาครัฐ 1 คนต่อประชากร 100 คน

 

จึงเห็นได้ชัดเจนว่าของเรายังอยู่ในพัฒนาการขั้นของการใช้แรงคนเป็นหลัก ( labourintensive) ในขณะที่เขาเปลี่ยนไปเป็นรัฐบาลอิเล็คทรอนิค

 ( e – government)กันแล้วในด้านโครงสร้างกำลังคนของรัฐร้อยละ80เศษยังคงเป็นส่วนกลางและภูมิภาครวมกัน
โดยส่วนท้องถิ่นมีไม่ถึงร้
อยละ 20ทั้งนี้สาเหตุหลักเป็นเพราะส่วนกลางและภูมิภาคยังคงรวบเอางานบริการสาธารณะไว้ดำเนินการเอง
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือข้าราชการส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่
ยในวัยกลางคนคือ 42.69 ปี กล่าวคือร้อยละ 69 เป็นคนรุ่น 31-50 ปี

 (Gen X) ร้อยละ8.8เป็นรุ่นต่ำกว่า30ปี(Gen Y) และร้อยละ12.2เป็นรุ่น 51-60 ปี (Gen BB) โดยมีอัตราการเกษียณอายุ                     

ร้อยละ 9.3 ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังเพราะปัจจุบันงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปี

หมดไปเป็นค่าใช้จ่ายดูแลกำลังคนภาครัฐสูงถึงร้อยละ 42 ในจำนวนนี้เป็นเงินเดือนโดยตรงร้อยละ 22 ส่วนที่เหลือเป็นงบบุคลากรที่แฝงในค่าจ้าง

และสวัสดิการต่างๆรัฐบาลที่ผ่านมาหลายสิบชุดเคยประกาศนโยบายตรึงอัตรากำลังภาครัฐแต่ไม่ประสพความสำเร็จเลยขนาดข้าราชการโตขึ้นทุกวัน
ดูจากคำขออัตรากำลังข้
าราชการเพิ่มใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราร้อยละ 8 เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้ว โดยความเห็นส่วนตัว
ผมคิดว่ามีประเด็นและเป้
าหมายการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินที่ควรต้องดำเนินการที่สำคัญในระยะ10-20 ปี ดังนี้
1.
ปรับรูปโครงสร้างหน่
วยงานภาครัฐ(Reshaping)
โครงสร้างหน่วยงานรัฐที่เป็
นสามเหลี่ยมหัวกลับในปัจจุบัน
คือส่วนกลางและภูมิภาคที่ใหญ่
มากเมื่อเทียบกับส่วนท้องถิ่นที่เล็กเหลือเกิน
เป็น80:20  รูปร่างเช่นนี้ควรจะต้องกลับให้
เป็นสามเหลี่ยมหัวตั้งให้ได้
คือท้องถิ่น80 ส่วนกลางและภูมิภาครวมกันเป็น20 จึงจะเกิดความสมดุล
มีเสถียรภาพ งานบริการประชาชนต้องให้ท้องถิ่
นเป็นผู้รับผิดชอบเพราะอยู่ใกล้ประชาชนมากกว่า
เรื่องนี้หากทำไม่สำเร็
จภายใน10-20ปี
ประเทศและสังคมไทยจะพบวิกฤติ
ใหญ่อีกหลายระลอกจากโครงสร้างที่เสียสมดุลเหล่านี้
2.
ลดขนาดกำลังคนภาครัฐ(
Rightsizing)
การบริการในยุคสมัยปัจจุบันซึ่
งประชาชนมีความรู้การศึกษาสูงขึ้นมากและเข้าถึงเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร
สามารถช่วยตัวเองได้มากขึ้น
คุณภาพบริการของรัฐหลายอย่างไม่
จำเป็นต้องใช้แรงงานคนจำนวนมากมายเหมือนแต่ก่อน
ใน10-20ปีข้างหน้าเราควรต้
องบรรลุเป้าหมายในการลดกำลังคนและค่าใช้จ่ายด้านนี้ลง
เพื่อให้มีเงินไปใช้ในการลงทุน
พัฒนาสังคมและขับเคลื่อนยุ
ทธศาสตร์ประเทศได้มากขึ้น
จากปัจจุบันที่มีบุคลากรรัฐต่
อประชากรเป็น1:25
ควรตั้งเป้าหมายลดลงเป็น1:60-
70ให้ได้
กล่าวคือจาก2.7ล้านคนควรลดลงให้
ได้ครึ่งหนึ่งกันทีเดียว
หาไม่แล้วค่าใช้จ่ายดูแลรั
กษากำลังคนจะกินตัวเองจนประเทศก้าวไปไหนไม่ได้เลย

3.เป็นรัฐบาลอิเล็คทรอนิค(E-Government)
มีงานบริการประชาชนอย่างน้อย 4
เรื่องที่สามารถให้บริการได้ด้
วยระบบอิเล็คทรอนิค คือ บริการจดแจ้ง
บริการขออนุญาต บริการขึ้นทะเบียน และบริการขอใช้สิทธิ์ต่างๆ
การพัฒนาแบบฟอร์ม
โปรแกรมและแอพลิคเกชั่นต่
างๆจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการ

ได้สะดวกรวดเร็วและลดการใช้กำลังคนลงได้มาก
การทุจริตระบบหยอดน้ำมันที่น่
าปวดหัวก็จะหมดไปด้วย
4.
กระจายการบริหารจัดการ(
Decentralization)
หน่วยงานส่วนกลางควรมีขนาดเล็
กลง มุ่งเน้นงานนโยบาย การกำหนดมาตรฐาน
การสนับสนุนทางวิชาการและการติ
ดตามประเมินผล
ส่วนภารกิจในเชิงปฏิบัติ
การและการบริการให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่นและภูมิภาค
สิ่งใดที่เป็นงานบริ
การสาธารณะที่สามารถหารายได้เพื่อกำไรเข้ารัฐก็ถ่ายโอนให้รัฐวิสาหกิจทำ

หรือแปรรูปเป็นบริษัทมหาชนสิ่งใดเป็นงานบริการสาธารณะที่หารายได้เพื่อเลี้ยงองค์กรตัวเองเท่านั้น
อาจให้เป็นองค์การมหาชนหรือหน่
วยงานในกำกับรัฐงานบริการสาธารณะสำคัญอาจจำเป็นต้องมี

ทั้งหน่วยงานบริการสาธารณะและหน่วยงานกำกับดูแลที่แยกออกจากกันเพื่อควรคุมคุณภาพ

และตรวจสอบถ่วงดุลงานบังคับใช้กฎหมายที่ต้องการความเป็นกลางก็ให้เป็นองค์กรอิสระ
งานบริการประชาชนในระดับพื้นที่
ควรมอบให้ส่วนท้องถิ่นทั้งหมด
งานดูแลทรัพยากรบางประเภทให้ชุ
มชนและคณะกรรมการหมู่บ้าน
งานจ้างเหมาจัดทำบริ
การสาธารณะสาธารณูปโภคงานสัมปทานจัดบริการสาธารณะและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ    

บางอย่างหรือแม้แต่การใช้อำนาจทางปกครองบางชนิดก็สามารถมอบให้เอกชนได้
งานตรวจสอบควบคุมงานของรัฐหรื
อบริการสังคมบางอย่างให้ภาคประชาสังคมหรือองค์กรไม่แสวงกำไรได้เช่นกัน
5.
งบประมาณระบบใหม่(Budgeting)
การจัดสรรงบประมาณให้สอดรับกั
บการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งยวด
การจัดสรรงบประมาณในยุคใหม่
ควรต้องมีทั้งมิติการจัดสรรตามยุทธศาสตร์ชาติ
การจัดงบประมาณเชิงภารกิจยั
งคงต้องมีอยู่ต่อไป
แต่ที่ขาดไม่ได้คือการจั
ดสรรงบประมาณเชิงพื้นที่จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
นอกจากนั้
นกระบวนการงบประมาณของประเทศและท้องถิ่นในยุคต่อไปควรต้องมีมิติของการจัดงบประมาณ

แบบบูรณาการและใช้กระบวนการงบประมาณแบบมีส่วนร่วมให้มากขึ้นด้วย