ประสบการณ์ประชาสังคม (34) สามแสนรายชื่อเสนอพรบ.สุขภาพ (2548)
เมื่อเห็นท่าไม่ดีว่า นากยกฯ ทักษิณ ชินวัตร และรัฐมนตรีสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งเข้ามาเป็นรัฐบาลสมัยที่สองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คงจะไม่สนใจผลักดันพรบ.สุขภาพแห่งชาติตามที่เคยรับปากกับเครือข่ายสมัชชาสุขภาพทั่วประเทศเป็นแน่แท้ คุณหมออำพล จินดาวัฒนะ ผู้อำนวยการ สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปรส.)จึงหันกลับมาเรียกใช้บริการจากข่ายงานประชาสังคมอีกคำรบหนึ่ง
ในเวทีการประชุมใหญ่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติประจำปีครั้งที่ 3 ณ ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา เมื่อวันที่*** เครือข่ายสมัชชาสุขภาพกว่า 3,000 คนจากทั่วประเทศร่วมกันทำพิธีส่งมอบ(ร่าง)พรบ.สุขภาพแห่งชาติถึงมือนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยลายเซ็นประชาชนผู้สนับสนุนอีก 5 ล้านชื่อซึ่งได้รวบรวมมาจากการวิ่งรณรงค์ 8 สายทั่วประเทศ ท่ามกลางความชื่นมื่นยินดีด้วยกันทุกฝ่าย
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้พวกเราจึงตัดสินใจเลือกใช้ช่องทางการเสนอกฎหมายของภาคประชาชนเข้าสู่รัฐสภาโดยตรงตามกติกาของรัฐธรรมนูญ สปรส.ได้ขอร้องให้ LDI และเครือข่ายช่วยทำการรวบรวมรายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายดังกล่าวโดยนำเอาเนื้อหาสาระจาก(ร่าง)พรบ.สุขภาพฉบับเดิมที่ส่งมอบรัฐบาลมาปรับใหม่ให้มีความสั้นกระชับและตัดเรื่องที่เกี่ยวข้องผูกพันกับการเงินออกไป เพราะการเสนอกฎหมายที่มีเรื่องการเงินต้องผ่านรัฐบาลเห็นชอบและเป็นผู้เสนอเท่านั้น
อันที่จริงการเสนอกฎหมายโดยภาคประชาชนนั้นต้องการเพียง 20,000 รายชื่อเท่านั้น แต่จากบทเรียนเมื่อตอนเสนอชื่อถอดถอนรัฐมนตรีสาธารณสุขในคดีทุจริตยา และตอนเสนอพรบ.ป่าชุมชน เราพบว่าในบรรดารายชื่อที่รวบรวมมามักจะมีรายชื่อที่ถูกตัดสิทธิอันเนื่องมาจากการไม่ไปเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และมีปัญหาความไม่สมบูรณ์ของเอกสารที่ถูกตรวจสอบพบในภายหลังรวมแล้วจะมีปะปนมาประมาณ 20-30% ดังนั้นจึงต้องเผื่อจำนวนเอาไว้หน่อย
LDI รับปากสปรส.ทันที โดยตั้งเป้าหมายใหญ่ว่าจะรวบรวมให้ได้ 300,000 รายชื่อภายในระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ก็เพราะอยากทดสอบความพร้อมและประเมินประสิทธิภาพการทำงานของกลไกต่างๆในเครือข่ายไปด้วยในตัว
สุดท้ายเมื่อครบกำหนด 3 เดือนตามที่ตกลงกันและเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับสถานการณ์ LDI และคณะทูตสุขภาพ 99 คน จาก 76 จังหวัดจึงพร้อมกันไปยื่นเสนอ(ร่าง)พรบ.สุขภาพแห่งชาติ ฉบับประชาชนต่อประธานรัฐสภาคุณอุทัย พิมพ์ใจชน ด้วยรายชื่อผู้สนับสนุน 180,000 คนครับ
ในเมื่อภาคประชาชนขับเคลื่อนออกมาแล้วเช่นนี้ รัฐบาลจะรู้สึกเสียหน้าหรือไม่ มิอาจรู้ได้ แต่อีก 2 เดือนต่อมา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คุณวิษณุ เครืองาม และคุณมีชัย ฤชุพันธุ์ นำร่างพรบ.สุขภาพฉบับเดิมขึ้นมาดำเนินการปรับปรุงให้เป็นฉบับของรัฐบาลเพื่อส่งเข้าประกบทันที ในที่สุดกระบวนการทางนิติบัญญัติจึงเริ่มเคลื่อนตัวได้อีกครั้ง
ในการเคลื่อนไหวสังคมครั้งนั้นมีประสบการณ์อะไรที่น่าสนใจบ้าง :
หากจำได้ตอนที่ผมขอให้ สปรส.สร้างกลไกประสานงานทุกจังหวัดและถูกปฏิเสธนั้น ที่จริงแล้วนั่นคือการเตรียมแผนสองสำหรับสปรส. ควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาเครือข่ายในการจัดการไว้ล่วงหน้า ผมเองก็นึกไม่ถึงว่ารัฐบาลทักษิณจะเบี้ยว แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าการลงทุนสร้างความแข็งแรงให้กับเครือข่ายภาคประชาชนเป็นภารกิจทางยุทธศาสตร์ที่ผู้นำองค์กรควรยึดกุม
4 ปีที่ผมแยกตัวจากสปรส. มาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เครือข่ายโดยผ่านภารกิจสำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯ, สำนักงานปปส. และโครงการวิจัยของ LDI เอง เราได้สะสมทุนเครือข่ายไว้มากพอ จึงช่วยหนุนกันได้ทันเหตุการณ์
พรบ.สุขภาพแห่งชาติเป็นตัวอย่างที่น่าศึกษา การริเริ่มมาจากรัฐบาลชวน(2) ในปี 2543 ผ่านรัฐบาลทักษิณ(1) และ (2) มาสำเร็จโดยรัฐบาลคมช.และสภานิติบัญญัติแห่งชาติในภาวะที่ไม่ปกติ น่าสังเกตว่าบรรดากฎหมายเพื่อประชาชนที่ดีๆมักออกมาในช่วงพิเศษแบบนี้ เรื่องนี้ต้องยกเครดิตนี้ให้กับอาจารย์ผู้ใหญ่ทางสายประชาคมสาธารณสุขที่คิดเรื่องนี้อย่างแยบยล การขับเคลื่อนขบวนโดยใช้ทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาของอาจารย์หมอประเวศ วะสี ยิ่งช่วยให้ภาคประชาชนมีทั้งองค์ความรู้ ภูมิปัญญา และพลังเครือข่ายที่เป็นแรงส่ง ดังนั้นเมื่อถึงพร้อมด้วยจังหวะโอกาสของสถานการณ์ จึงสามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยทันที
เมื่อเปรียบเทียบกับพรบ.ป่าชุมชนที่ริเริ่มกันมาก่อนร่วม 10 ปี เรามีองค์ความรู้ที่ถึงขั้น แต่ขาดภูมิปัญญาการจัดการและพลังเครือข่ายที่แข็งแรงเพียงพอ ในที่สุดจึงค้างเติ่งอยู่นานมาออกเป็นกฎหมายได้ในช่วงปลายของสนช.แบบเส้นยาแดงผ่าแปด และเนื้อหาสาระได้ถูกฝ่ายข้าราชการยำเสียจนเสียหลักการสำคัญไป ทำให้เกิดแรงต้านจากกลุ่มเอ็นจีโอโดยทันทีที่ผ่านสภา และเมื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้วก็ไม่ได้รับความร่วมมือจากชุมชนท้องถิ่นเท่าที่ควร